ทีมแพทย์สหรัฐสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในการรักษาทารกติดเชื้อไวรัสเอชไอวีจากแม่ได้สำเร็จ หลังไม่พบสัญญาณการกลับมาติดเชื้อ
สร้างเกียรติประวัติให้กับวงการแพทย์ทั่วโลก เมื่อคุณหมอชาวอเมริกันประสบความสำเร็จ ในการรักษาโรคเอดส์ในเด็กแรกเกิด ซึ่งติดเชื้อไวรัสเอชไอวีมาจากมารดาส่งสัญญาณบวกให้กับคุณแม่และเด็กน้อยบริสุทธิ์หลายแสนคนทั่วโลก โดยเฉพาะคุณแม่ที่ต่อไปนี้อาจไม่ต้องทำใจผ่าตัดลูกออกจากครรภ์ตามคำแนะนำของแพทย์อีกต่อไป
ความสำเร็จในครั้งนี้ได้รับการเปิดเผยระหว่างการประชุมว่าด้วยการต่อต้านเชื้อรีโทรไวรัส หรือไวรัสที่สามารถเปลี่ยนเป็นดีเอ็นเอเพื่อแฝงในร่างกายและการติดเชื้อฉวยโอกาส (ซีอาร์โอไอ) ครั้งที่ 20 ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา โดยแพทย์หญิงเดโบราห์ เพอร์ซอด นักวิทยาไวรัสแห่งมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปส์กิน รายงานว่า ขณะนี้มีหนูน้อยวัย 2 ขวบครึ่งจากมลรัฐมิสซิสซิปปี ได้เข้ารับการรักษากับทางทีมแพทย์ซึ่งให้ยารักษาโรคเอดส์มานานถึง 18 เดือน และพบว่าปัจจุบันหนูน้อยรายนี้ไม่มีสัญญาณการติดเชื้อไวรัสอีก
เรื่องราวน่ายินดีนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลในเขตชนบทของสหรัฐ โดยทางโรงพยาบาลพบว่าเด็กหญิงรายนี้มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อเอชไอวีจากมารดาในระดับสูงมาก เนื่องจากแม่ของเด็กไม่ได้เข้ารับการรักษาโรคเอดส์ขณะที่ตั้งท้องแต่อย่างใด ทำให้ทางโรงพยาบาลส่งตัวเด็กน้อยรายนี้ให้กับทางศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัย จอหน์ส ฮอปส์กิน เพื่อให้ทำการรักษาและดูแลผู้ป่วยรายนี้ให้ดีที่สุด
แพทย์ได้ฉีดยาต้านเชื้อเอชไอวีแบบมาตรฐาน 3 ขนานให้กับเด็กทารกผู้ติดเชื้อรายนี้มาตั้งแต่อายุไม่เกิน 30 ชม. เพราะทีมแพทย์และนักวิจัยเชื่อมั่นว่ากระบวนการรักษาที่รวดเร็วตั้วแต่แรกเกิดอาจช่วยบรรเทาการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีได้ และหลังจากที่เด็กน้อยได้หยุดการรักษามานานเกือบ 1 ปี แพทย์ไม่พบสัญญาณการกลับมาของการติดเชื้อเอดส์แต่อย่างใด กลายเป็นความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ที่ทีมแพทย์สามารถเอาชนะไวรัสอันตรายนี้ได้
อย่างไรก็ตามขณะนี้ทีมแพทย์ยังต้องตรวจและดูแลเด็กหญิงรายนี้ต่อไปอย่างใกล้ชิด เพื่อเช็กอาการว่าเชื้อจะหมดไปจากร่างกายของหนูน้อยนี้อย่างถาวรหรือไม่ ซึ่งหากหนูน้อยหายดีและมีสุขภาพแข็งแรง ก็จะได้รับการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นมนุษย์คนที่ 2 ของโลกที่หายขาดจากโรคเอดส์ต่อจากทิโมธี เรย์ บราวน์ผู้ป่วยคนแรกของโลกที่เชื่อว่าหายขาดจากโรคเอดส์จากการปลูกถ่ายไขกระดูก(สเต็มเซลล์) เพื่อรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งกระบวนการดังกล่าวทำให้บราวน์เกิดภูมิคุ้มกันเชื้อเอชไอวี
ทั้งนี้ กลุ่มประเทศที่มีภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อจะอยู่ในแถบทวีปแอฟริกา โดยสถิติในปี 2011 พบว่าเด็กที่เกิดมาและติดเชื้อเอชไอวีนั้นมีมากถึง 300,000 คน ซ้ำร้ายไปกว่านั้นมีคุณแม่เพียง 60%เท่านั้นที่ได้รับการรักษา